มูลนิธิอานันทมหิดล
ความเป็นมา
มูลนิธิอานันทมหิดลนี้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้ตั้งขึ้น
ด้วยทรงสนพระราชหฤทัยพัฒนาสภาพความเป็นอยู่ของประชาชน ทรงเข้าพระราชหฤทัยดีว่า
ในการพัฒนาประเทศจำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญวิชาการขั้นสูงสาขาต่างๆ วิธีการหนึ่ง
จะสร้างผู้เชี่ยวชาญคือ
การส่งผู้มีความสามารถออกไปศึกษาหาความรู้ ณ ประเทศที่เป็นแหล่งวิทยาการแขนงต่างๆ
ที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ จึงทรงพระราชดำริที่จะส่งเสริมและสนับสนุนให้นักศึกษาผู้แสดงความสามารถยอดเยี่ยม
ได้มีโอกาสไปศึกษาวิชาความรู้ให้ถึงขั้นสูงสุดในประเทศที่พัฒนาแล้ว
ด้วยทรงพระราชดำริว่าเมื่อได้ศึกษาถึงขั้นสูงสุดแล้ว จะเห็นว่าศาสตร์ต่างๆ นั้นมีความสัมพันธ์กัน
และสามารถนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์และประเทศชาติได้
ด้วยเหตุผลดังกล่าว
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งทุนเพื่อการนี้เมื่อ พ.ศ. 2498 พระราชทานนามทุนว่า "อานันทมหิดล" เพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์ในสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล
พระอัฐมรามาธิบดินทร
การพระราชทานทุนนี้
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานแก่ผู้สำเร็จการศึกษาวิชาแพทยศาสตร์เป็นประเดิม
ทรงเจริญรอยตามพระยุคลบาท แห่งสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม
พระบรมราชชนก ผู้ทรงศึกษาวิชาแพทยศาสตร์
และสนพระทัยการสาธารณสุขของประเทศเป็นอย่างยิ่ง
ได้พระราชทานทุนแก่นักศึกษาแพทย์ไปศึกษา ณ ต่างประเทศ
จนสำเร็จกลับมาทำคุณประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองมาแล้ว
และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเอง
ก็ทรงสนพระราชหฤทัยในการส่งเสริมกิจการแพทย์ของไทยเป็นอย่างมาก
เมื่อครั้งที่เสด็จนิวัติพระนครครั้งที่สอง
ได้เสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตรและอนุปริญญาบัตรแก่ผู้จบหลักสูตรแพทย์พยาบาล ณ
ศิริราชพยาบาลเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2489 ทรงมีพระราชปรารภว่า
มีพระราชประสงค์ให้มีการผลิตแพทย์เพิ่มมากขึ้น ให้เพียงพอที่จะช่วยเหลือประชาชน
เพราะในขณะนั้น มหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์รับนักศึกษาแพทย์ได้เพียงปีละ 50 คนเท่านั้น เพื่อสนองพระราชปรารภ
รัฐบาลในขณะนั้นจึงได้อนุมัติงบประมาณจำนวนหนึ่ง เพื่อขยายการศึกษาแพทย์ศาสตร์ให้สามารถรับนักศึกษาได้ประมาณปีละ
200 คน
ผู้บัญชาการมหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ได้ตัดสินใจเลือกโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ของสภากาชาดไทยเป็นโรงเรียนแพทย์แห่งใหม่ขึ้น
เพราะคณะแพทย์ศาสตร์และศิริราชพยาบาลมีสถานที่จำกัด คณะแพทย์ศาสตร์แห่งที่สอง
จึงได้ก่อกำเนิดขึ้นที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และเปิดการเรียนการสอนแก่นักศึกษาปีแรกจำนวน 67 คน
ได้ภายในหนึ่งปีหลังจากที่ทรงมีพระราชปรารภดังกล่าวคือ เมื่อปีการศึกษา
2490
เมื่อกิจการของทุน
"อานันทมหิดล" ดำเนินการได้ผลดีมาเป็นเวลา 4 ปี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งทุน
"อานันทมหิดล" เป็น "มูลนิธิอานันทมหิดล" เมื่อวันที่ 3
เมษายน พ.ศ. 2502 และเมื่อความต้องการผู้เชี่ยวชาญในวิชาแขนงอื่นๆ
มีเพิ่มขึ้น ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานทุนในสาขาวิชาต่างๆ
เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ
ปัจจุบันการพระราชทานทุน
แยกเป็นแผนกต่างๆ ดังนี้
1.
|
แผนกแพทยศาสตร์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งขึ้นเมื่อแรกตั้งทุน
|
2.
|
แผนกวิทยาศาสตร์ (รวมแผนกวิศวกรรมศาสตร์ด้วย)
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2502 และเปลี่ยนชื่อเป็นแผนกวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์
เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2514
|
3.
|
แผนกวิศวกรรมศาสตร์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระบรมราชานุมัติให้แยกแผนกวิศวกรรมศาสตร์
ซึ่งเคยรวมอยู่ในแผนกวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ออกเป็นแผนกต่างหากตั้งแต่วันที่
1 มิถุนายน พ.ศ. 2541
|
4.
|
แผนกเกษตรศาสตร์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2504
|
5.
|
แผนกธรรมศาสตร์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2506
|
6.
|
แผนกอักษรศาสตร์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2506
|
7.
|
แผนกทันตแพทย์ศาสตร์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2535
|
8.
|
แผนกสัตวแพทยศาสตร์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2537
|
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงสนพระราชหฤทัยการดำเนินงานของมูลนิธิฯ อย่างใกล้ชิดตลอดมา
มีพระบรมราชวินิจฉัยทั้งในเรื่องของการคัดเลือกผู้สมควรได้รับพระราชทานทุน
และการดำเนินการด้านต่างๆ เช่น
การปรับเปลี่ยนและเพิ่มสาขาวิชาที่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานทุน
ครั้งหลังสุดนี้
เมื่อวิชาวิศวกรรมศาสตร์ที่ศึกษาอยู่ในประเทศไทยมีลักษณะเฉพาะแยกเป็นเด็ดขาด
ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้แยกออกเป็นแผนกหนึ่งต่างหาก
จากเดิมที่รวมอยู่ในแผนกวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์
นอกจากนี้ยังทรงพิจารณาการศึกษาในสถาบันต่างๆ ในประเทศไทยด้วยว่า
สาขาวิชาใดในสถาบันใดได้คุณภาพ ผลิตผู้มีความรู้ความสามารถที่จะไปศึกษาต่อได้
จึงจะมีสิทธิรับการคัดเลือกเข้ารับพระราชทานทุน
ก่อนที่จะออกไปศึกษาในต่างประเทศ
คณะกรรมการประจำแผนกจะนำผู้ที่ได้รับพระราชทานทุนเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เพื่อรับพระราชทานพระบรมราโชวาท และเมื่อสำเร็จการศึกษามาแล้ว
ในโอกาสแรกที่กลับมาถึงประเทศไทย จะนำเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทกราบบังคมทูลรายงานทุกคน
วัตถุประสงค์
1.
|
ส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาชั้นสูง
ด้วยการพระราชทานทุนให้ผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาบัณฑิตในประเทศไทย
ผู้มีคุณสมบัติดีเด่นทั้งด้านวิชาการและคุณธรรม
ไปศึกษาต่อในสาขาวิชาอันจะเป็นประโยชน์ต่อวงวิชาการ แล้วนำกลับมาถ่ายทอดแก่ชนรุ่นหลัง
ตลอดจนช่วยในการพัฒนาประเทศ
ผู้ได้รับพระราชทานทุนควรกลับมาทำงานรับใช้ชาติบ้านเมือง
แต่ไม่ผูกมัดว่าต้องรับราชการ
|
2.
|
พระราชทานทุนช่วยเหลือในการประกอบอาชีพ
หรือเพื่อค้นคว้าแก่ผู้ได้รับพระราชทานทุนที่สำเร็จการศึกษากลับมาทำงานในประเทศไทย
ที่มีความสามารถดีเยี่ยม มีคุณธรรมและความประพฤติดีเป็นกรณีๆ ไป
|
3.
|
จัดตั้งสถาบันค้นคว้าทางวิชาการ
เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ได้รับพระราชทานทุนที่
สำเร็จการศึกษาและกลับมาทำงานในประเทศไทย ได้ทำการค้นคว้าทางวิชาการต่อไป
|
4.
|
ร่วมมือกับสถาบันอื่นที่มีวัตถุประสงค์คล้ายคลึงกัน
เพื่อให้การสนับสนุนทางวิชาการกว้างขวางทั่วถึงยิ่งขึ้น
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น